เรียนรู้เรื่องศาสนา จากปัญหาข้องใจ(ตอนที่2): คนเราตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ และใครเคยไปมาแล้ว?

05:38 Mali_Smile1978 6 Comments

เรียนรู้เรื่องศาสนา จากปัญหาข้องใจ

ที่มา: https://goo.gl/sWMWez

ถาม: คนเราตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ และใครเคยไปมาแล้ว
ตอบ: คนเราตายแล้วก็ไปยังภพภูมิต่างๆ ตามกรรม คือการกระทำของตัวเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ตัวทำไว้นั้นจะสั่งสมผลอยู่ในจิตหรือสันดานของคนๆ นั้นไม่สูญหายไปไหน พอร่างกายหมดสภาพ (ตาย) ลงจิตหรือวิญญาณนั้นก็ออกจากร่างนั้นไปพร้อมกับสิ่งที่สะสม (กรรม) ไว้ และไปยังภพภูมิเพื่อเกิดใหม่ เหมือนเราอยู่บ้านหลังนี้มานานแล้ว พอบ้านพังไปก็ย้ายข้าวของพร้อมตัวเองออกไปหาบ้านใหม่อยู่ฉะนั้น

     แต่หลังจากตายไปแล้วจะไปเกิดในภพภูมิใดนั้นก็แล้วแต่กรรมที่สั่งสมไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เหมือนเรานำสัตว์ชนิดต่างๆ มาขังรวมกันไว้ พอปล่อยออกไปเท่านั้น มันก็จะแยกย้ายกันไปตามถิ่นที่ที่มันมาหรือที่มันชอบ ไม่ไปยังที่เดียวกัน นกก็บินไปบนฟ้า เสือก็วิ่งเข้าป่า ปลาก็ลงน้ำไป สุนัขก็ลงใต้ถุน แมวก็ป้วนเปี้ยนอยู่กับคน พวกแมลงวันก็บินหรี่ไปยังที่สกปรก หาของสดของคาวไป หนูและแมลงสาบก็วิ่งเข้าซอกเข้าที่รกๆ ไป มันไปต่างที่ต่างทิศกันอย่างนี้ คนที่ตายไปแล้วก็แยกย้ายกันไปตามกรรมนั้นๆ เช่นเดียวกันนี่แหละ

     คนเราเกิดมาในโลกนี้ก็เหมือนกับสัตว์ที่ถูกจับมาขังรวมกันไว้ พอตายจากกันก็ไปตามยถากรรม คนที่ยังมีกิเลสอยู่ก็ป้วนเปี้ยนอยู่ในโลกมนุษย์นี่แหละ ไม่ค่อยอยากไปไหน คนที่หมดกิเลสแล้วก็นิพพานไป ไม่ต้องกลับมาผจญทุกข์ในโลกนี้อีก คนที่ทำดีไว้มากก็ขึ้นสวรรค์ไป ส่วนคนที่ทำชั่วผิดไว้มากก็ตกนรกไปตามธรรมเนียม หลักของศาสนาเกือบทุกศาสนาท่านว่าไว้อย่างนี้

     ปัจจัยที่เป็นเหตุหนุนนำให้คนได้เกิดอีกนั้นคือ อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน


อวิชชา คือความไม่รู้แจ้งเห็นจริง ความโง่เขลา ไม่ยอมรับสภาพที่เป็นจริง
ตัณหา คือความทะเยอทะยานอยากได้จนเกินเหตุ ความต้องการไม่สิ้นสุด
อุปาทาน คือความยึดถืออย่างมั่นคงไม่ปล่อยวาง อะไรๆ ก็เป็นตัวของตัวหมด 


     ถ้ามีอย่างนี้ก็ต้องเกิดอีก ท่านเปรียบไว้เหมือนกับตะเกียงน้ำมันหากยังมีไส้และน้ำมันอยู่ ไฟก็ยังติดอยู่ หากหมดเชื้อหมดไส้ มันก็จะมอดดับไป จะจุดอีกเท่าไรก็ไม่ติด ส่วนจะเกิดเป็นอะไรในภพภูมิไหนก็แล้วแต่กรรมอย่างว่า ท่านแสดงไว้ว่า 

ที่มา: https://goo.gl/sWMWez

- เกิดเป็นสัตว์นรก เพราะอำนาจโทสะเป็นส่วนมาก

- เกิดเป็นเปรตและอสุรกาย เพราะอำนาจโลภะเป็นส่วนมาก

- เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะอำนาจโมหะเป็นส่วนมาก

- เกิดเป็นมนุษย์ เพราะอำนาจศีล ๕ และอกุศลกรรมบถ ๑๐

- เกิดเป็นเทวดา เพราะมหากุศล ๘

- เกิดเป็นพรหม เพราะสมถกรรมฐานหรือฌานสมาบัติ

- นิพพาน คือไม่เกิดอีก เพราะวิปัสสนากรรมฐาน

     ปัญหาที่ว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือพิสูจน์ได้อย่างไร ใครเคยไปมาแล้วนี้เป็นปัญหาที่สงสัยกันมาก และสงสัยกันมาทุกยุคทุกสมัย คือมีตั้งแต่เริ่มนับถือศาสนากันเลยทีเดียว

     ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า นรกสวรรค์มีอยู่จริง แต่จะพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์นั้นทำได้ยาก เพราะผู้ที่จะพิสูจน์ได้ต้องมีเครื่องมือ เครื่องมือที่ว่านี้คือจุตูปปาตญาณหรือทิพพจักขุญาณ คือความหยั่งรู้การจุติของสัตว์ที่ตายไปแล้วเกิดว่าไปเกิดที่ไหนเหมือนกับเห็นด้วยตาเปล่า เครื่องมือนี้เคยมีผู้ได้มาแล้ว ทั้งวิธีการเพื่อให้ได้มาก็ยังมีอยู่ ยังรอแต่คนกล้าที่จะเข้ามาเรียนวิธีและกล้าพิสูจน์เท่านั้น 



     นรกสวรรค์นี้ตามธรรมดาตามองไม่เห็น แต่การจะปฏิเสธว่าสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นสิ่งไม่มีจริงก็ไม่ถูกนัก เพราะในโลกนี้ยังมีสิ่งที่คนเรายังไม่รู้ไม่เห็นกันและที่ยังพิสูจน์ไม่ได้มีอีกมาก และเราก็ปฏิเสธเต็มปากหรือลงความเห็นกันไม่ได้ว่ามันไม่มีจริง

     ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้านอกจากจะไม่ทรงปฏิเสธเรื่องนรกสวรรค์แล้ว กลับปรากฏว่าทรงแสดงเรื่องนี้ไว้ในพระสูตรต่างๆ หลายแห่ง เช่น อนุปุพพิกถา เป็นต้น ในที่นั้นพระองค์ทรงบรรยายสวรรค์ไว้แจ่มแจ้งทีเดียว




ขอบคุณข้อมูล

- หนังสือไขข้อข้องใจ ๒,(จากวารสารมงคลสาร, มีนาคม ๒๕๑๙). พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช),๒๕๕๒.

6 ความคิดเห็น:

  1. ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระศาสดาไม่ได้ตรัสให้ไม่เชื่อ แต่ตรัสว่าให้เชื่อมั่นในคำสอนของพระองค์ เพราะเบื้องหลังศรัทธานี้มาจากปัญญาตรัสรู้ในสรรพธรรมสรรพสิ่งแล้ว ย่อมถูกต้อง ยิ่งเชื่อใจก็ยิ่งใสสว่าง เพียงแต่เบื้องต้นต้องหว่านศรัทธาของตนลงมาในคำสอนแล้วนำมาปฏิบัติให้มีปัญญาปรากฏแก่ตนตามเป็นจริง ศรัทธาก็จะยิ่งเพิ่มพูนเป็นศรัทธาเห็น(เกิดจากการเห็นด้วยญาณ) ซึ่งเกิดจากศรัทธาฟัง(ฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา) เหมือนดังอริยสาวกในอดีตมีอนาถบิณฑิกะเศรษฐีเป็นต้น ฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา แล้วตรัสรู้ธรรมตามพระเทศนา ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงต่างจากศรัทธาในลัทธิศาสนาอื่นที่เบื้องหลังศรัทธาไม่ได้เกิดจากการตรัสรู้แต่เกิดจากการคาดเดาตรึกนิดคิดเอาซึ่งผิดบ้างถูกบ้างไม่แน่นอน

    "ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีวันงมงาย"
    จงหวานศรัทธามาเถิด อย่ามัวรอรี เพราะเวลาและวารียังไม่คอยใคร
    นับประสาอะไรกับชีวิตอันน้อยนิด เพราะมีความตายเป็นที่สุด
    หากไม่เชื่อผู้รู้ ก็ต้องตกไปสู่ความเชื่อของพวกมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นศรัทธางมงาม
    เพราะยิ่งเชื่อก็ยิ่งมืด นำไปสู่ที่มืดมิดคืออบายในที่สุด จะประสบทุกข์สิ้นกาลนานฯ

    ตอบลบ
  2. พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงชี้บอกให้แล้วอาจเห็นจริงหรือไม่แค่ทำตามที่ทรงสอนไว้เท่านั้นคนจริงย่อมเห็นได้ ที่สำคัญไม่ยอมทำต่างหาก

    ตอบลบ
  3. ลองอ่าน ปายาสิราชัญสูตร ดู ความสงสัยเรื่องนี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์มากมาย

    ตอบลบ
  4. ชีวิตคนเราตายแล้วไม่สูญ ยังมีชีวิตหลังความตายที่ยาวนานและสลับซับซ้อน ถ้าทำดี สร้างบุญ จะสุขสบายบนสวรรค์ ถ้าทำชั่ว สร้างบาป จะไปอบาย แสนทุกข์ทรมานเอย.

    ตอบลบ
  5. *สวดธรรมจักรฯบูชา---------- พระรัตนตรัย***
    สวดบูชาพระพุทธเจ้าจำนวน----- บ่สุดสิ้น***
    อนิสงฆ์ผลบุญแผ่ไพศาล----บ่สิ้นสุดอจินไตย****
    อนันผลบุญนับอสงไขยนับบ่ได้ ----ปลื้มใจแผ่ไพศาล*

    ตอบลบ