คำว่า ความสามัคคี หมายถึง ไฟที่สงบ...หากขาดความสามัคคี ย่อมขาดพลังในการทำสิ่งต่าง ๆ และยิ่งหากปัญหาความขัดแย้งมีมาก ย่อมสามารถลุกลามไปสู่ความรุนแรงได้ในที่สุด

02:44 Mali_Smile1978 1 Comments

        

        กระแสข่าวการเมืองของสังคมไทยช่วงนี้ ใครที่ติดตามข่าวจะมีคำติดหู คำว่า “ปรองดอง”...ปรองดองแล้วดีอย่างไร? หลายคนอาจจะเฉยๆ กับคำนี้ แต่มีประชาชนอีกหลายๆ คนก็อยากจะรู้ผลว่า เมื่อรัฐบาลจัดโครงการลงนามใน เอ็มโอยู (MOU) เพื่อความปรองดองสำเร็จแล้วจะทำให้สังคมในด้านต่างๆ เดินหน้าไปต่อและแก้ปัญหาความขัดแย้งที่สังคมกำลังเผชิญอยู่ได้จริงหรือไม่? อย่างไร? 

        คำว่า ปรองดอง เป็นหนึ่งในความหมาย ของความสามัคคี

        คำว่า ความสามัคคี มีรากศัพท์มาจากคำบาลีและสันสกฤต คำว่า สมะ คำบาลี หมายถึง ความสงบ ความราบคาบ คำว่า อัคคิ อัคคี คำบาลีและสันสกฤตใช้ อคฺคิ อคฺนิ หมายถึง ไฟ เมื่อนำทั้ง 2 คำมารวมกันจึงหมายถึง ไฟที่สงบ

        โดยทั่วไป “ความสามัคคี” จึงให้ความหมายถึง การที่ทุกคนมีความพร้อมกาย พร้อมใจ และพร้อมความคิด เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายที่จะปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จ เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ทุกคนในสังคมต่างยอมรับว่า เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น หน่วยสังคมขนาดเล็ก ระดับครอบครัว ระดับองค์กร หรือขนาดใหญ่ระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับโลก หากขาดความสามัคคี ย่อมขาดพลังในการทำสิ่งต่าง ๆ และยิ่งหากปัญหาความขัดแย้งมีมาก ย่อมสามารถลุกลามไปสู่ความรุนแรงได้ในที่สุด


ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/u1Hojy

        การที่จะสร้างความปรองดองหรือสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน องค์กร ประเทศนั้น คงต้องมีองค์ประกอบและบริบทปัจจัยอะไรหลายๆ อย่าง จึงทำให้นึกถึงหลักธรรมข้อหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่พูดถึงเหตุที่จะก่อให้เกิดความสามัคคี ซึ่งความสามัคคีจะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุที่เรียกกันว่า สาราณียธรรม ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน กระทำซึ่งความเคารพระหว่างกัน อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยดี มีความสุข ความสงบ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายทำลายกัน มี 6 ประการ คือ

👍1.ทำต่อกันด้วยเมตตา คือ แสดงไมตรีและความหวังดีต่อเพื่อนร่วมงาน ร่วมกิจการ ร่วมชุมชน ด้วยการช่วยเหลือธุระต่างๆ โดยเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ เคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

👍2.พูดต่อกันด้วยเมตตา คือ ช่วยบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอนหรือแนะนำตักเตือนกันด้วยความหวังดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

👍3.คิดต่อกันด้วยเมตตา คือ ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน มองกันในแง่ดี มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน



👍4.ได้มาแบ่งกันกินใช้ คือ แบ่งปันลาภผลที่ได้มาโดยชอบธรรม แม้เป็นของเล็กน้อย ก็แจกจ่ายให้ได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วกัน

👍5.ประพฤติให้ดีเหมือนเขา คือ มีความประพฤติสุจริต ดีงาม รักษาระเบียบวินัยของส่วนรวม ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจ หรือทำความเสื่อมเสียแก่หมู่คณะ

👍6.ปรับความเห็นเข้ากันได้ คือ เคารพรับฟังความคิดเห็นกัน มีความเห็นชอบร่วมกัน ตกลงกันได้ในหลักการสำคัญ ยึดถืออุดมคติหลักแห่งความดีงาม หรือจุดหมายอันเดียวกัน

        ธรรมทั้ง 6 ประการนี้ เป็นคุณค่าก่อให้เกิดความระลึกถึง ความเคารพนับถือกันและกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน เพื่อป้องกันความทะเลาะ ความวิวาทแก่งแย่งกัน เพื่อความพร้อมเพรียงร่วมมือ ผนึกกำลังกัน เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

        อานิสงส์ของความสามัคคีนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ความเจริญ เป็นเหตุแห่งความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ และความสามัคคีมีคุณค่ามากหลายเกินจะบรรยายทีเดียว


ขอบคุณภาพจาก https://goo.gl/QaKFfb
        ตรงข้าม โทษของการแตกสามัคคีกันนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า หาความสุข ความเจริญไม่ได้ ไม่มีความสำเร็จด้วยประการทั้งปวง เหตุให้แตกความสามัคคีกันนี้ อาจเกิดจากเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นได้ เหมือนเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว แต่เป็นเหตุให้เกิดสงครามได้เหมือนกัน ดูตัวอย่างเรื่องพวกเจ้าลิจฉวีในเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี มีความสามัคคีกัน พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทำอะไรไม่ได้ แต่พอถูกวัสสการพราหมณ์ยุยงให้แตกสามัคคีกันเท่านั้น ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าอชาตศัตรู เข้าโจมตีและยึดเมืองเอาไว้ได้ในที่สุด


ขอบคุณข้อมูล:
- 100ข้อคิดดีๆ https://goo.gl/HzAJIu 
- http://www.kriengsak.com/node/2364
- http://news.voicetv.co.th/thailand/453018.html

1 ความคิดเห็น:

“รอดตายเพราะสวดมนต์” อานิสงส์ของการสวดมนต์ที่เกิดขึ้นจริง

02:19 Mali_Smile1978 16 Comments


“รอดตายเพราะสวดมนต์”
อานิสงส์ของการสวดมนต์ที่เกิดขึ้นจริง

        เรื่องราว อานิสงส์ของการสวดมนต์ ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับ คุณวิชาญ ฤทธิรงค์ อดีตประธานชมรมพุทธศาสตร์ ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ด้วยกิจกรรมของชมรม ที่มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเทศนา และสอนวิธีการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สัปดาห์ละ1 – 2 ครั้ง หลังเลิกงาน 
        คุณวิชาญจึงไม่ลืมที่จะนำแนวทางแห่งพุทธศาสนามาปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน นั่นก็คือ การสวดมนต์
        คุณวิชาญเริ่มฝึกการสวดมนต์ภาวนา ด้วยการสวดบทพาหุงและบทอิติปิโส ในจำนวนครั้งเท่ากับอายุตัวเองบวกหนึ่งจนจบ จากนั้นต่อด้วยบทแผ่เมตตา ให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้ที่เคยโกรธเกลียดกันมาก่อน ยิ่งไม่ชอบหน้ากันมากเท่าไร คุณวิชาญก็ยิ่งสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขามากขึ้นเท่านั้น
        ผลของการสวดมนต์ ไม่เพียงทำให้คุณวิชาญได้รับความเมตตาจากคนที่เขาเคยโกรธ เคยไม่ชอบหน้าเท่านั้น ทว่าอานิสงส์ของการสวดมนต์ ยังส่งผลไปถึงลูกสาวของคุณวิชาญที่อยู่ไกลถึงรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
        เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มขึ้นจากวันหนึ่งลูกสาวคุณวิชาญโทรศัพท์มาจากอเมริกา เพื่อขอให้ผู้เป็นพ่อซื้อรถยนต์ให้ใช้ขณะอยู่ที่นั่น แต่คุณวิชาญปฏิเสธไปว่าไม่เห็นด้วย เนื่องจากลูกสาวเพิ่งย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ยังไม่คุ้นกับถนนหนทางดีนัก



        หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากที่โครงการซื้อรถยนต์ต้องล้มเลิก คุณวิชาญก็ไม่ได้โทรศัพท์ไปหาลูกสาวอีกเลย แต่อยู่ๆ ขณะที่คุณวิชาญกำลังสวดมนต์ และภาวนาขอให้พระพุทธพระธรรม และพระสงฆ์คุ้มครองลูกสาว เช่นที่เคยปฏิบัติ จิตใจของคุณวิชาญกลับรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไม่สงบนิ่งเหมือนครั้งก่อนๆ ทว่า คุณวิชาญก็พยายามควบคุมสติแล้วเริ่มต้นสวดมนต์อีกครั้ง กลับไปกลับมาจนจบบท พร้อมด้วยลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นในใจว่า คงจะเกิดอะไรขึ้นสักอย่างกับลูกสาว ยิ่งคุณวิชาญได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ และรูปของลูกสาวด้วยแล้ว ความรู้สึกคิดถึงลูกจับใจ ก็ผุดขึ้นมาอย่างประหลาด

        เมื่อไม่ได้รับการติดต่อจากลูกสาว คุณวิชาญจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่หอพักของมหาวิทยาลัย คนที่รับสายคือเจ้าหน้าที่หอพัก น้ำเสียงรีบร้อนบอกว่า จะไปตามลูกสาวให้มารับสาย
จากนั้นไม่กี่นาที เสียงจากปลายสายก็ดังเข้ามาเป็นเสียงลูกสาวของคุณวิชาญอย่างที่คาด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน ลูกสาวก็ส่งสายต่อให้ผู้ประสานงานที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กนักเรียนต่างชาติ

        “คุณพ่อใจเย็นๆ อย่าเพิ่งดุลูกสาวนะคะ เธอกำลังตกใจอยู่ ” ผู้ประสานงานเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก พร้อมกับบอกว่า ลูกสาวคุณวิชาญเพิ่งรอดตายอย่างน่าอัศจรรย์จากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันกลางสี่แยกของมหาวิทยาลัยโดยคู่กรณีที่ถูกชนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บและความเสียหายแต่อย่างใด ส่วนลูกสาวคุณวิชาญนั้นมีเพียงแผลฟกช้ำดำเขียวเล็กน้อย แต่รถยนต์ที่ขับมานั้นขาดเป็นสองท่อน สภาพไม่ต่างจากเศษเหล็ก!

        วันที่เกิดเหตุเป็นวันที่ลูกสาวคุณวิชาญแอบไปซื้อรถยนต์และเพิ่งขับออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่มีประกันใดๆ ด้วยความรีบร้อนจะกลับให้ถึงมหาวิทยาลัยก่อนค่ำ ทำให้เธอขับรถด้วยความเร็วสูง
        เมื่อใกล้ถึงสี่แยกจึงไม่ทันระวังและฝ่าไฟแดงไปประสานงากับรถของอีกฝ่ายอย่างแรง จนรถที่ทำจากเหล็กชั้นดีฉีกเป็นสองท่อนตรงบริเวณหลังของคนขับพอดิบพอดีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็กรูกันเข้ามาช่วยโดยที่ไม่คิดว่าจะมีใครรอดชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้

        แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ที่มุงดูประหลาดใจเป็นอันมากก็คือ ภาพของลูกสาวคุณวิชาญที่ค่อยๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยและก้าวลงจากรถโดยที่แทบจะไม่มีบาดแผลตามตัวเลยแม้แต่น้อย นอกจากสีหน้าที่แสดงอาการตื่นตกใจอย่างที่สุด
        ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ วันและเวลาที่เกิดเหตุตรงกับช่วงเวลาที่คุณวิชาญกำลังสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ลูกสาวอยู่ที่เมืองไทยพอดิบพอดี!



        เมื่อได้ฟังเรื่องราวของผลานิสงส์จากการสวดมนต์ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยแล้ว ให้นึกถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นที่พื้นที่ภาคใต้ของไทยเรา ความยากลำบากทั้งความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ที่พี่น้องชาวใต้กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ นึกสภาพคนชรา คนป่วย เด็กเล็ก นับว่าน่าเห็นใจอย่างยิ่ง 
        ดังนั้นเราคนไทยไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว สามารถช่วยส่งกำลังใจ กำลังทรัพย์ หรือปัจจัยต่างๆ เพื่อการยังชีพของพี่น้องภาคใต้ที่กำลังประสบทุกข์อย่างมาก  ที่ยิ่งกว่านั้นที่ทุกคนทำได้ทุกที่ ทุกเวลาที่สะดวก คือ การส่งกระแสจิตที่ดีงามจากการทำความดีอะไรก็แล้วแต่ หรือที่เราได้สวดมนต์ ภาวนา ทำจิตเป็นสมาธิแล้วตั้งจิตอธิษฐานให้เหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วม บรรเทาลง ขอให้เหตุการณ์เป็นปกติโดยเร็ว 

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก 
1. เรื่อง นู๋กล้วย เรียบเรียงจากหนังสือ “กฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ” เล่มที่ 10, หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน
http://www.goodlifeupdate.com/40026/healthy-mind/praypower/
2.ขอบคุณภาพจาก google

16 ความคิดเห็น: