ลักขโมยพระ ตัดเศียรพระ พวกนี้จะบาปมากไหม และบาปจะตามทันในชาตินี้หรือไม่?

03:58 Mali_Smile1978 6 Comments


ภาพจาก: https://goo.gl/BuWNwt
เรียนรู้เรื่องศาสนาจากปัญหาข้องใจ(ตอนที่ 10)
ถาม: ปัจจุบันมีการลักขโมยพระตัดเศียรพระกันมาก พวกนี้จะบาปมากไหม และบาปจะตามทันในชาตินี้หรือไม่?

     ข้อนี้ตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า บาปมากแน่ ไปถามใคร เขาก็ต้องตอบเช่นนี้ เพราะว่าการลักถือว่าเป็นบาปอยู่แล้ว ไม่ว่าศาสนาไหนในโลกต่างก็มีคำสอนเรื่องการห้ามลักทรัพย์ของผู้อื่นทั้งนั้น แม้การตัดเศียรพระก็เหมือนกันเพราะต้องลักตัด เมื่อลักตัดก็บาปและบาปมากด้วย หากไม่ได้ลักตัดเช่นพวกช่างหล่อหรือช่างซ่อมพระพุทธรูป ซึ่งจำเป็นต้องขัดแต่งพระให้ดีให้สวยงาม ต้องตัดต่ออวัยวะเพื่อให้ได้รูปที่สวยงาม บางครั้งต้องซ่อมเศียรพระโดยวิธีหล่อใหม่ ก็จำต้องตัดเศียรเก่าที่ซ่อมไม่ได้แล้วออก อย่างนี้ไม่ถือว่าบาป

มาว่ากันว่าบาปแค่ไหนดีกว่า?
     ในตำนานพระพุทธศาสนาชั้นหลังๆ คือเมื่อมีพระพุทธรูปเกิดขึ้นแล้ว ท่านว่าใครทำลายพระพุทธรูปก็เท่ากับทำลายองค์พระพุทธเจ้าเหมือนกัน มีโทษถึงห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานทีเดียว พิเคราะห์ดูก็เห็นสม เพราะผู้ลักขโมยพระหรือตัดเศียรพระได้นี้ต้องเป็นคนใจโหดบาปหนาอยู่ในกมลสันดาน ย่อมทำชั่วอย่างอื่นได้ทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่จะฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองก็คงได้ การที่เขาแก่ใจทำบุญทำกุศลเพื่อตัวเองนั้นเห็นจะไม่มี เมื่อไม่ทำดีก็หมดหวังที่จะไปสวรรค์ หรือนิพพาน จะมีก็แต่ตกนรกหมกไหม้ในอเวจีเท่านั้น เรียกว่าเป็น "ผู้สวนทางนิพพาน" กันเลย

ภาพจาก: https://goo.gl/BuWNwt
     แม้กฎหมายโบราณก็ตราไว้ว่า หากใครทำอันตรายพระพุทธรูป เช่น ตัดแขน เป็นต้น ก็ให้ลงโทษด้วยการตัดแขนผู้นั้นทิ้งเสีย ใครตัดเศียร ตัดศอพระ ก็จับมันมาตัดคอเสีย เรียกว่าลงโทษกันแบบเกลือจิ้มเกลือ ปากต่อปาก ฟันต่อฟันกันเลยละ
     ที่ท่านลงโทษหนักอย่างนี้ เห็นเป็นเพราะผู้ทำลายพระพุทธรูปเท่ากับทำลายจิตใจของพุทธบริษัททั่วไป เพราะพระพุทธรูปเป็นมิ่งขวัญเป็นปูชนียวัตถุที่เขากราบไหว้บูชากันอยู่ หรือพูดอีกทีก็คือว่าเป็น "ดวงใจของชาวพุทธ" นั่นเอง
     แต่การลงโทษปัจจุบันนี้เบาบางมาก พวกทุจริตมิจฉาชีพประเภท “หนักแผ่นดิน” อย่างนี้ จึงผุดขึ้นงามสะพรั่งไม้แพ้ต้นโพธิ์ที่เกิดขึ้นอยู่บนยอดเจดีย์หรือหลังโบสถ์วิหารเก่าๆ ยามหน้าฝนทีเดียว

ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาท่านก็เขียนเล่าไว้ว่า

ภาพจาก https://goo.gl/nLQkNx
     สมัยหนึ่ง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ มีกษัตริย์อินเดียพระองค์หนึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่นับถือพระพุทธศาสนาจึงคิดทำลายล้างให้หมดสิ้นไปเสียจากอินเดีย โดยเริ่มจัดการทำลายวิหารมหาโพธิ์สถานตรัสรู้ก่อน ทราบว่า ในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปสวยงามมาก พระองค์สั่งให้แม่ทัพจัดการทำลายพระพุทธรูปองค์นั้นเสีย ส่วนพระองค์ไปจัดการกับต้นมหาโพธิ์ แม่ทัพผู้นั้นแม้จะเป็นมิจฉาทิฐิ แต่ก็มีสามัญสำนึกดีกว่าพระเจ้าแผ่นดิน เขาคิดว่าพระพุทธรูปงดงามเช่นนี้ควรรักษาไว้ เพราะเป็นสมบัติของแผ่นดินชิ้นหนึ่ง จึงก่ออิฐถือปูนบังพระพุทธรูปไว้เสียแล้วกลับมากราบทูลว่าได้ทำลายพระพุทธรูปเสร็จแล้ว พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นทรงทราบเข้าก็ทรงพอพระทัยมาก ดำริว่าเราโค่นพระพุทธศาสนาลงได้แล้ว 
แต่หลังจากนั้นเพียง ๗ วันเท่านั้น พระองค์เกิดโรคพุพองขึ้น
ทั้งพระองค์ ต่อมาตุ่มพองนั้นก็แตกเปื่อยเน่าเหม็นคลุ้งไป ปวดแสบปวดร้อนนัก ทรมานอย่างสาหัสสากรรจ์เช่นนี้จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ไป

     นี่เป็นผลของการสั่งให้ทำลายพระพุทธรูปและทำลายพระศรีมหาโพธิ์ด้วยพระองค์เองหรืออย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายวินิจฉัยดูเอาเองเถิด



ภาพจาก https://goo.gl/iMNMQH

ส่วนในเมืองไทยเราก็มีเรื่องเล่าทำนองนี้เกิดขึ้น เล่าสืบต่อกันมาว่า
     มีชายชราคนหนึ่งเป็นโรคผิวหนังพุพองเน่าเปื่อยไปทั้งตัว แถมเป็นอัมพาตเสียด้วย ทำมาหากินไม่ได้ ต้องนอนขอทานเขากินไปวันๆ ทุกข์ทรมาน ทุกข์ทรมานอยู่จนตาย ก่อนตายชายชราคนนั้นสารภาพว่า สมัยที่ยังหนุ่มแน่นอยู่นั้น ได้หากินทางขโมยลอกทองจากองค์พระพุทธรูปบ้าง เที่ยวขุดคุ้ยหาทรัพย์ในองค์พระตามวัดร้างโบราณบ้าง ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการทำให้พระพุทธรูปขาดความสวยงามไป บางครั้งต้องตัดอวัยวะพระพุทธรูปบ้าง เจาะองค์บ้าง เจาะฐานบ้าง เมื่อแกได้รับทุกข์ทรมานเช่นนี้ แกก็ทราบว่ากรรมตามทันในชาตินี้นี่เอง แต่ก็สายไปเสียแล้ว



ภาพจาก https://goo.gl/19Hha2
     จะเป็นไปได้ไหม ผู้ที่เคยตัดเศียรพระทำลายองค์พระไว้ เมื่อเกิดมาในชาตินี้จึงไม่มีแขนไม่มีขาอย่างคนอื่น ต้องถูกตัดแขนตัดขาหรือถูกตัดคอ เช่น นั่งรถไปเกิดอุบัติเหตุ รถชนกันบ้าง รถคว่ำบ้าง ทำให้แขนขาด แต่ไม่ตาย หรือแขนขาเป็นโรคเน่าเปื่อย หรือถูกทำร้ายต้องถูกตัดทิ้งไปเพื่อรักษาชีวิตไว้ พวกนี้ทุกข์ทรมานจิตใจอย่างน่าสงสารเหมือนกัน ทำอย่างไรได้ คนอื่นทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เฉพาะจะต้องมาเป็นกับพวกเขาซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก


ขอบคุณข้อมูล
- หนังสือไขข้อข้องใจ ๒, (จากวารสารมงคลสาร: กรกฎาคม, ๒๕๑๙). พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช),๒๕๕๒.หน้า ๑๐๐-๑๐๒ 

6 ความคิดเห็น:

  1. ลักขโมยพระ ตัดเศียรพระ พวกนี้จะบาปมากไหม และบาปจะตามทันในชาตินี้หรือไม่?

    ตอบ = บาปมากแน่นอน เพราะตัดเศียรพระก็มีค่าเท่ากับพวกทำลายเจดีย์และวัดวาอารามนั่นแหละ เพราะองค์ปฏิมากรและเจดีย์เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า พวกที่ทำลายจัดเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิดิ่งคือความเห็นผิดชนิดฝังรากแน่นจนแก้ไขไม่ได้
    เพราะ มิจฉาทิฏฐิเป็นมโนทุจริตอย่างหนึ่งที่มีโทษมากอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าโทษของอกุศลกรรมอื่น ๆ เช่น อนันตริยกรรม
    สาเหตุเพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งอกุศลธรรมทั้งปวง และทำให้อกุศลเจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น
    สัตว์ที่มีมิจฉาทิฏฐิเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    โดยเฉพาะผู้ที่มีความเห็นผิดชนิดดิ่ง(นิยตมิจฉาทิฏฐิ) เมื่อตายไปย่อมไปสู่โลกันต์นรก เป็นตอวัฏฏสงสาร ไม่มีกำหนดกาลเวลาที่จะจุติจากภพนั้นได้เลย ทั้งปิดกั้นทางสวรรค์ มรรค ผล และนิพพานทีเดียว

    ดังตัวอย่างเรื่อง พระราชาพระนามว่า โจรนาค ที่ปรากฏในคัมภีร์มหาวงศ์ พงษาวดารลังการทวีป เล่ม 2 ปริจเฉทที่ ๓๕ หน้า 282 ข้อความว่า

    “ครั้งนั้น โอรสของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย
    ได้ประพฤติเป็นโจร ในรัชสมัยแห่งพระเจ้ามหาจูฬิกะ
    ปรากฏนามว่า “โจรนาค” (เมื่อพระเจ้ามหาจูฬิกะทรงสละ
    ราชสมบัติแล้ว) เสด็จมาครองราชย์สมบัติ(แทน)
    พระองค์เป็นกษัตริย์มีพระปัญญาโฉดเขลารับสั่งให้รื้อวิหาร
    ที่พระองค์ไม่ได้ประทับแรมในเวลาพระองค์เป็นโจรเสีย ๑๘
    ตำบล”
    เพราะการรื้อทำลายวิหารเหล่าใด พระเจ้ามหาโจรนาคนั้นเป็นพระราชาชั่วช้า ถูกพระเทวีคือพระนางอนุฬาเทวีซึ่งเป็นมเหสีของพระองค์ให้เสวยยาพิษ เสด็จสวรรคตแล้วบังเกิดในโลกันตริกนรกแลฯ

    ตอบลบ
  2. เห็นผลแห่งกรรมแล้วสยอง พวกเราชาวพุทธตั้งหน้าตั้งตาทำความดีกันให้มากๆดีกว่าทำชั่วนะคะ เพราะผลเวลามันเกิดน่าสยดสยองจัง มาทำความดีเพื่อเราจะได้มีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเรานะคะ

    ตอบลบ
  3. ตั้งใจทำความเีเสียเถิด! อย่าสร้างกรรมเลย พระพุทธรูปก็คือตัวแทนของพระศาสดาของพวกเรา เราต้องเคารพอย่างสูงสุด

    ตอบลบ
  4. สาธุ กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาบุญเจ้าค่ะอ่านแล้วยิ่งกลัวที่จะทำชั่ว

    ตอบลบ
  5. ทุกการกระทำของคนเรา จะดี หรือชั่ว มีผลทั้งนั้น กรรมหนักหรือเบา อยู่ที่เจตนา และทำกับผู้มีคุณมากน้อยขนาดไหนเอย.

    ตอบลบ
  6. เพื่อนครูชาวมุสลิมเคยเล่าให้ฟังวันหนึ่งที่หล่อนมาทำงานสาย เพราะนอนไม่ได้ทั้งคืน เนื่องจากเพื่อนบ้านใกล้ตาย ร้องลั่นครวญครางดังไป3 บ้าน 8บ้าน ชาวบ้านนอนไม่ได้ก็ไปมุงดูกัน แกร้องดิ้นทุรนทุรายว่ามีใครเอาลื่อยมาเลื่อยคอแก เมียเขาก็พูดกับเพื่อนบ้านว่า เมื่อ 50 ปีก่อน ตอนพวกทหารอเมริกัน GI จะถอนฐานทัพ มันคิดจะซื้อของที่ระลึกจากไทย ผัวแกก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่หาเงินด้วยการไปงัดอุโบสถ์เลื่อยเอาเศียรพระไปขายได้ เศียรละ 5,000 บาท ทำครั้งนั้นครั้งเดียว 5 วันก็ยังไม่ตาย แต่ดิ้นทุรนทุรายมาก
    ลูกเมีย ญาติ พากันมานั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านแพทย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้

    ตอบลบ