อุทิศบุญให้ญาติที่ตายแล้ว บุญนั้นถึงแก่ญาติในภพภูมิใด?

05:01 Mali_Smile1978 1 Comments


        เรื่องของการทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตายนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ ทรงรอบรู้ทุกอย่างด้วยพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์เอง  

ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการนั้นมี 
        ทาน การให้ 
        ศีล การรักษากายวาจาให้สะอาด 
        ภาวนา การอบรมจิตใจด้วยสมถะและวิปัสสนา 
        เวยยาวัจจะ การขวนขวายช่วยเหลือกิจการงานอันชอบธรรมของผู้อื่น 
        อปจายนะ กระประพฤติอ่อนน้อม 
        ปัตติทาน การให้ส่วนบุญที่ตนทำแล้วแก่ผู้อื่น 
        ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาคือชื่นชมยินดีในบุญที่ผู้อื่นกระทำแล้ว 
        ธัมมัสสวนะ การฟังธรรม 
        ธัมมเทศนา การแสดงธรรม และ 
        ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง 
        ซึ่งบุญประการสุดท้ายนี้คือปัญญา ถ้าทุกคนมีปัญญารู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะยอมรับการทำบุญที่เหลืออีก ๙ ประการว่า เป็นสิ่งที่เป็นความจริง 

แล้วบุญมีลักษณะอย่างไร? 
บุญ คือ พลังงานอันบริสุทธิ์ มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าพลังทั้งปวง เป็นเครื่องนำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต คุณสมบัติของบุญ คือ เก็บสะสมเอาไว้ได้ เหมือนกระแสไฟฟ้าที่สามารถชาร์จเก็บสะสมเอาไว้ในแบตเตอรี่ และยังสามารถอุทิศให้แก่ผู้ที่ละโลกไปแล้วได้ บุญมีคุณสมบัติคล้ายน้ำ คือ สามารถที่จะไหลไปได้ไกล ๆ เหมือนน้ำจากภูเขาไหลลงไปสู่ทะเลที่อยู่ไกล   แสนไกล บุญก็สามารถที่จะอุทิศให้กับผู้ที่ละโลก ไปแล้ว แม้อยู่กันคนละโลกได้

ทำบุญแล้วอุทิศให้ญาติที่ตายแล้ว เขาได้รับหรือไม่?
        ถ้าเราทำบุญ บุญก็เกิด แล้วตั้งใจอุทิศบุญไปให้แก่หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว บุญก็ส่งไปถึงเขาแล้ว แต่จะได้รับหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับภพภูมิของเขาด้วย เช่น เขาเป็นคนอยู่ ยังไม่ตาย เขาจะได้เมื่อเราไปบอกให้เขารู้ เขาอนุโมทนาแล้วเขาจะได้บุญ  หรือเขาไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ยังไม่ได้รับ แต่ตัวเราผู้ทำได้บุญแล้ว บุญนั้นจะไปรอจังหวะ รอช่องอยู่ก่อน แต่ถ้าเขาไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า ไปเกิดเป็นภุมมเทวา เป็นต้น หรือว่าไปเกิดเป็นเปรต หรือไปตกนรกอยู่ในยมโลก ขุมตื้นๆ ไม่ใช่ขุมลึก อย่างนี้บุญจะส่งถึงเขาเลย แต่ถ้าเขาไปตกนรกขุมลึกๆ  อย่างเช่นมหานรก บุญยังส่งไม่ถึง มันเป็นเหมือนกับคุกแบบที่ห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน ก็ส่งของเยี่ยมไปไม่ได้ บุญยังไม่ถึง แต่บุญจะไปรอจังหวะอยู่ เขาพ้นจากมหานรกเมื่อไหร่ เมื่อบุญได้ช่องจึงจะส่งผล 



           จริงอยู่สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้ ใครทำดีก็ได้รับผลดี ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว ไม่มีใครรับผลของกรรมแทนกันได้ แม้พวกเปรตที่สามารถรับส่วนบุญที่ญาติมิตรอุทิศไปให้จากโลกนี้ได้ ก็เพราะเปรตได้ทำบุญด้วยตนเองในข้อปัตตานุโมทนา คือชื่นชมในบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ ถ้าไม่ชื่นชมอนุโมทนาบุญก็ไม่เกิดแก่เปรต การอนุโมทนานั้นเปรตต้องทำเอง ไม่มีใครทำให้เปรตได้ พวกเราในโลกมนุษย์นี้ทำได้แต่เพียงบุญในข้อปัตติทาน คืออุทิศบุญที่ทำแล้วให้เปรตเท่านั้น ถ้าเปรตยอมรับบุญที่เราอุทิศไปให้ เขาก็จะชื่นชมอนุโมทนา เมื่อเขาชื่นชมอนุโมทนา บุญก็จะเกิดแก่เปรต 
        แต่ถ้าเปรตไม่ยอมรับหรือไม่ทราบ ไม่ได้ชื่นชมอนุโมทนา บุญก็ไม่เกิดแก่เปรต เปรตก็ยังไม่ได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ เมื่อบุญไม่เกิดแก่เปรต เปรตก็ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป แต่ถ้าบุญเกิดแก่เปรต เปรตก็จะพ้นจากความทุกข์ทรมาน บางครั้งถ้ากรรมของเปรตเบาบาง อนุโมทนาแล้วก็ พ้นจากสภาพเปรตเป็นเทวดาทันที ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีเล่าไว้ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ 
        สำหรับเทวดานั้น แม้ท่านจะมีความสุข มีอาหารทิพย์ แต่ถ้าท่านทราบว่ามีผู้คนในโลกมนุษย์นี้ทำบุญแล้วอุทิศให้ท่าน ท่านก็ยินดีรับ ถ้าท่านเป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย บุญในข้อปัตตานุโมทนาก็เกิดแก่ท่าน แต่การอนุโมทนาของเปรตกับเทวดานั้นต่างกัน เทวดาอนุโมทนาแล้ว สิ่งที่เทวดาจะได้ คือกำลังบุญที่มีมากขึ้น  เช่น มีรัศมีมากขึ้น มีอำนาจในภพภูมิที่ตนเองอยู่มากขึ้น หรือเสวยทิพยสมบัติได้นานขึ้น เป็นต้น



เปรตที่รับส่วนบุญได้และไม่ได้ มีอย่างไร?

        ในเปตวัตถุอรรถกถา แสดงเปรต ๔ จำพวก คือ
๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้โดย การเซ่นไหว้ เป็นต้น
๒. ขุปปีปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าว หิวน้ำ อยู่เป็นนิจ
๓. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
๔. กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตในจำพวกอสุรกาย หรือ เป็นชื่อของอสุราที่ เป็นเปรต
        ดังนั้น เปรตที่สามารถจะได้รับส่วนกุสลที่มีผู้อุทิศให้นั้น ได้แก่ ปรทัตตุปชีวิกเปรต จำพวกเดียวเท่านั้น เพราะเปรตจำพวกนี้โดยมากอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กับมนุษย์ ถึง กระนั้นก็จะต้องรู้ว่าเขาแผ่ส่วนกุสลให้ จึงจะสามารถรับได้ด้วยการอนุโมทนา ถ้าไม่รู้ไม่ได้อนุโมทนา ก็ไม่ได้รับส่วนกุสลนั้นเหมือนกัน
        เมื่อเปรตอนุโมทนาแล้ว นอกจากบุญจะเกิดแก่เปรตแล้ว เปรตยังได้รับข้าวของอันสมควรแก่ฐานะของเปรต ตรงตามที่ผู้อุทิศไปให้ด้วย เช่น มีผู้ถวายอาหารแล้วอุทิศให้เปรต เปรตอนุโมทนาแล้ว ได้บุญในข้อปัตตานุโมทนาแล้ว ยังได้รับอาหารอันสมควรแก่ฐานะของเปรตด้วย ทำให้เปรตอิ่มหนำสำราญ พ้นจากความหิวโหย หรือเราถวายผ้า เปรตก็จะได้รับผ้าทิพย์ปกปิดร่างกาย ทำให้พ้นจากสภาพเปลือยกายได้ เราถวายน้ำแล้วอุทิศให้ เปรตก็ได้ดื่มน้ำทิพย์พ้นจากความหิวกระหายด้วยอำนาจของการอนุโมทนา ดังเรื่องในอดีตของพระเจ้าพิมพิสารที่พระองค์ทรงถวายทาน มีภัตตาหาร ผ้า ที่นั่ง ที่นอน เป็นต้น แก่ทักขิไนยบุคคล มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วทรงอุทิศให้แก่หมู่ญาติ (อ่านเรื่องราวได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=90)



        จะเห็นว่า บุญสามารถอุทิศให้กันได้ ถ้าไม่แบ่งบุญ ญาติที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ส่วนบุญกับเรา พระพุทธองค์จึงทรงสอนเหล่าพุทธบริษัทให้รู้จักการอุทิศส่วนบุญให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อเราให้เขาได้มีส่วนแห่งบุญ แทนที่บุญจะหมดไป แต่กลับกลายเป็นได้บุญ  เพิ่มขึ้น เหมือนต่อแสงเทียนให้สว่างยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยเริ่มจากตัวผู้อุทิศส่วนกุศลซึ่งเป็นดวงที่หนึ่ง ขยายต่อไปเป็นสองดวง สามดวง สิบดวง ร้อยดวง พันดวง ยิ่งต่อไปมากเท่าไรก็ยิ่งสว่างไสวเพียงนั้น 
        โดยเฉพาะหลังออกพรรษา ช่วงเทศกาลทอดกฐิน เราจะได้โอกาสสั่งสมบุญที่มีอานิสงส์มาก ทำบุญแล้วปลื้มปีติ ก็ย่อมปรารถนาที่จะแผ่อุทิศบุญให้แก่หมู่ญาติที่จากไปแล้ว ปรารถนาให้เขามีความสุขเช่นกัน 
        โดยหลักให้ทำใจใส ๆ นึกถึงชื่อหรือรูปร่างหน้าตาของหมู่ญาติหรือบุคคลที่เราต้องการแผ่ส่วนบุญชนิดจำเพาะเจาะจงให้ แต่จะอุทิศส่วนกุศลโดยรวม ๆ ก็ได้ว่า... อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนฺตุ   ญาตโย ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย  ของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงประสบความสุขด้วยเถิด...


ขอบคุณข้อมูล
1.http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=90
2.http://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=47
3.http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/006.htm
4.http://www.kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=2265
5.https://www.youtube.com/watch?v=kWrXqKE6bow

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณครับสำหรับเนื้อหาสาระดีๆ ขอบุญจงเกิดขึ้นแก่ท่าน ขอให้มีความสุม ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน สาธุ

    ตอบลบ