บวชทำไม? ประโยชน์สูงสุดของการบวชคืออะไร ? แม้ในสมัยพุทธกาล กุลบุตรที่เข้ามาบวชก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน

04:10 Mali_Smile1978 2 Comments

ที่มา: https://goo.gl/Qc3GVA


ที่มา https://www.dailynews.co.th/article/583630

 > เมื่อได้อ่านมุมมองเรื่องวัตถุประสงค์การเข้ามาบวชเป็นภิกษุจากบทความนี้แล้วยังไม่เห็นด้วยเสียทุกประเด็นกับผู้เขียน (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.dailynews.co.th/article/583630)
เพราะแท้จริงแล้วควรต้องแยกพิจารณาเป็นประเด็นตามข้อเท็จจริง กล่าวคือในเรื่องวัตถุประสงค์ในการบวช ประการหนึ่ง กับเมื่อบวชแล้วภิกษุจะศึกษาพระธรรมและปฏิบัติขัดเกลาตัวเองตามธรรมวินัยได้เต็มที่มากน้อยขนาดไหน? ควรแยกแยะพิจารณา


> อย่างไรขอยืนยันว่า ประโยชน์จากการบวชมีอยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้บวช แต่ "การมองว่าวัตถุประสงค์ก่อนบวชเหล่านี้
จะก่อให้เกิดบาปต่อตัวผู้บวช 
หรือก่อผลเสียให้พระศาสนานั้น 
ดูจะรุนแรงไป เป็นการตัดสินคนตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำอะไรเลย?" 
> ถ้าเปรียบ เด็กจากที่ไมรู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ จึงต้องเข้าโรงเรียนเพื่อไปฝึกฝน เรียนรู้จากคุณครู มีสิ่งแวดล้อมจากเพื่อนๆ ที่เอื้อให้เราได้มีกำลังใจที่จะศึกษาเรียนรู้ เด็กนักเรียนแต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสติปัญญา แรงจูงใจ เรื่องพ่อแม่ครอบครัว เศรษฐกิจ แต่สุดท้ายเมื่อเข้าได้เข้าเรียน อย่างน้อยที่สุดเขาก็ย่อมได้ประโยชน์ คืออ่าน ออก เขียนได้ มีความรู้ติดแข้งติดขาไม่มากก็น้อย เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตต่อไป

> เมื่อมองภาพรวมของพระพุทธศาสนาตอนนี้  คือมีคนเข้ามาบวชน้อยลงมาก จำนวนพระเณรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของคณะสงฆ์ไทย จำนวนพระสงฆ์ ๒๙๐,๐๑๕ รูป สามเณร ๕๘,๔๑๘ รูป รวม ๓๔๘,๔๓๓ รูป (ที่มา: สํานักงานเจ้าคณะจังหวัด , สํานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557) 
> แม้ว่าเมื่อจำแนกเฉพาะพระอย่างเดียว ตัวเลขเมื่อปี ๒๕๔๙ เมืองไทยยังมีพระถึง ๒๕๐,๔๓๗ รูปมากกว่าเมื่อปี ๒๕๐๗ ซึ่งมีภิกษุเพียง ๑๕๒,๕๑๐ รูป แต่ตัวเลขดังกล่าวอาจเป็นภาพลวงตาเมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ในจำนวนกว่า ๒ แสน ๕ หมื่นรูปนี้รวมทั้งพระที่บวชระยะสั้นคือ ๗ วันถึง ๑ เดือนด้วย มีข้อมูลการวิจัยระบุว่า ในช่วงปี ๒๕๔๕-๒๕๔๗ พระเณรที่บวชตั้งแต่ ๗ วันถึง ๑ เดือนในกรุงเทพมหานครและราชบุรีมีเกือบร้อยละ ๗๐ ของผู้บวชทั้งหมด หากคนในจังหวัดอื่น ๆ มีระยะเวลาการบวชในทำนองเดียวกับคนในสองจังหวัดดังกล่าว ก็หมายความว่า ในเมืองไทยปัจจุบันมีพระที่บวชเกินกว่า ๑ เดือนขึ้นไปประมาณ ๘๐,๐๐๐ รูปเท่านั้น หรือเท่ากับ ๑ รูปเศษ ๆ ต่อ ๑ หมู่บ้าน และหากคัดพระที่บวชตั้งแต่ ๑- ๓ เดือนออกไป จะเหลือพระที่ยืนพื้นน้อยกว่านี้มาก อาจไม่ถึง ๑ รูป ต่อ ๑ หมู่บ้านด้วยซ้ำ (ที่มา: http://www.visalo.org/article/matichon255107.htm)

  ดังนั้น การแก้ปัญหาภาพรวมของพระพุทธศาสนาตอนนี้ คือทำอย่างไรจะทำให้มีชายแมนๆ เข้ามาบวชเพิ่มมากขึ้นๆๆ จะมาบวชวัตถุประสงค์ใด ศรัทธาอาจยังไม่มาก แต่ขอให้มาบวชเสียก่อน ศรัทธาเป็นเรื่องที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้ ตอนแรกที่มาบวชอาจจะไม่เต็มใจนัก อาจบวชด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไป เช่น แม่อยากให้บวช ด้วยความกตัญญูจึงตัดสินใจมาบวช หรือบวชตามประเพณี บวชแก้บน  บวชก่อนแต่งงาน บวชเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิต เป็นต้น


ที่มา https://www.dailynews.co.th/article/583630
> ที่ถูกต้องที่สุด ต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันนี้ คือ ต้องให้ชายแมนๆ มาบวชมากๆๆๆ
ยิ่งได้บวช ๑ เดือน ๑ พรรษา เหมือนชายไทยสมัยก่อนยิ่งประเสริฐ อย่างไรก็ตาม มีการบวชก็ยังดีกว่าไม่มีการบวช 
เปรียบ มีเงินในกระเป๋า ๑,๐๐๐ ล้านบาท มีเพียงวันเดียว (บวชเช้าสึกเย็น) ก็ยังดีกว่าไม่เคยมีเงิน 1,000 ล้านบาท มีเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ๑ เดือน (บวช ๑ เดือน) ก็ดีเพิ่มมากขึ้น มีเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ๓ เดือน (บวช ๑ พรรษา ๓ เดือน) ก็ยิ่งสุขกาย สบายใจ
ยิ่งถ้าอยู่รับกฐิน แล้วออกเดินธุดงค์แสวงหาหนทางพ้นทุกข์ โอ้... แสนจะวิเศษ
> เป็นการเปรียบเทียบที่เล็กน้อยมาก ประดุจนำฝุ่นในเล็บมือ ไปเทียบกับฝุ่นในจักรวาล เพราะถ้ากุลบุตรได้บวช มีคุณค่าและมูลค่ามากกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท 
เพราะเป็นโอกาสให้กุลบุตรเหล่านั้นได้มีโอกาสสลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ พบความสุขที่แท้จริง มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน
- ประเด็นอยู่ที่บวชแล้วต้องเรียน ท่านเรียก "บวชเรียน" จะเป็นคันถธุระ วิปัสสนาธุระ หรือทั้งสองอย่าง ตามความชอบใจ ไม่ใช่ไม่ให้มาบวช
มีศรัทธามาก่อนก็บวชได้
ไม่มีศรัทธามาก่อน ก็บวชได้เช่นกัน
ไม่ใช่เลือกบวชเฉพาะผู้มีศรัทธา
องคุลีมารมหาโจร ไม่มีศรัทธาในพระศาสนามาก่อน บวชแล้วก็ทำพระนิพพานให้แจ้งได้ เป็นต้น

> การนำ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่กุลบุตรผู้ออกบวชมีจะสามารถนำมาใช้ได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นกับพระอุปัชฌาย์ คณะพระอาจารย์ ที่จะคอยเป็นกัลยาณมิตรให้ หลายท่านก็ได้เบิกมาใช้ คือ ได้ประสบการณ์ภายในจากการปฏิบัติธรรม ที่ตนเองได้วางทุกอย่าง ทิ้งทุกสิ่งออกบวช (แม้ช่วงสั้น) การปฏิบัติธรรม ขึ้นกับการวางใจได้ถูกส่วน ไม่ได้ขึ้นกับระยะเวลาในการบวช
(พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้เวลาหนึ่งคืน นั่งสมาธิจนสำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า)
> ดังตัวอย่าง ที่นาคได้บรรลุธรรมเบื้องต้น ขณะอยู่ในโบสถ์ หลายท่านบวชแล้ว แม้ช่วงสั้น ก็ได้ศึกษาพระปริยัติ มีนวโกวาท สำหรับพระบวชใหม่ เป็นต้น ยิ่งกว่านั้น หลายท่านตั้งใจบวชวันเดียว แต่เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา บวชต่อกระทั่งได้เป็นมหาเปรียญ ก็มีให้เห็น บางท่านตั้งใจบวชไม่ถึงเดือน ลางานมาบวช แต่บวชแล้วเกิดกุศลศรัทธาในครูบาอาจารย์ บวชอยู่ถึงปัจจุบัน เป็นมหาเถระแล้วก็มี


ที่มา: https://goo.gl/s6HoZn
> แม้ในสมัยพุทธกาล กุลบุตรที่เข้ามาบวชก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังเช่น พระสาวกในครั้งพุทธกาลรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระรัฏฐปาละ ท่านเป็นลูกเศรษฐี แต่ก็ได้สละทรัพยสมบัติออกบวชปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง วันหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินของแคว้นนั้น พระนามว่าพระเจ้าโกรัพยะ ได้ถามท่านว่า ท่านบวชทำไม? เพราะคนโดยมากนั้น บวชกันเพราะเหตุว่า มีความเสื่อมเพราะชราบ้าง มีความเสื่อมเพราะความป่วยไข้บ้าง มีความเสื่อมเพราะทรัพยสมบัติบ้าง มีความเสื่อมญาติบ้าง แต่ว่าท่านรัฏฐปาละเป็นผู้ที่ยังไม่มีความเสื่อมใดๆ ดังกล่าวนั้น ไฉนท่านจึงออกบวช ท่านก็ตอบว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัส ธัมมุเทส ไว้ ๔ ข้อ คือ
     - โลกอันชราย่อมนำเข้าไป ไม่ยั่งยืน
     - โลกไม่มีอะไรต้านทานจากความเจ็บป่วย ไม่เป็นใหญ่
     - โลกไม่ใช่ของ ๆ ตน เพราะทุก ๆ คนจำต้องละสิ่งทั้งปวงไป ด้วยอำนาจของความตาย และ
     - โลกพร่องอยู่ ไม่มีอิ่ม เป็นทาสของตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
     ท่านได้ปรารภธัมมุเทส คือการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ ประการนี้ จึงได้ออกบวช
> แต่ว่าการบวชนั้น ก็มิได้มีผู้มุ่งผลอย่างสูงดังกล่าวนี้เสมอไป ดังในมิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินท์ได้ถาม พระนาคเสน ว่า ประโยชน์สูงสุดของการบวชคืออะไร ? พระนาคเสนท่านก็ตอบว่า ประโยชน์สูงสุดของการบวชนั้น คือพระนิพพาน คือความดับ เพราะไม่ยึดมั่นอะไรๆ ทั้งหมด แต่คนก็มิใช่บวชเพื่อประโยชน์นี้ทั้งหมด บางคนบวชเพราะหลีกหนีราชภัยบ้าง หนีโจรภัยบ้าง ปฏิบัติตามพระราชประสงค์หรือความประสงค์ของผู้มีอำนาจบ้าง ต้องการจะพ้นหนี้สินบ้าง ต้องการความเป็นใหญ่บ้าง ต้องการที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายบ้าง เพราะกลัวภัยต่าง ๆ บ้าง   
     
> พระนาคเสนตอบพระเจ้ามิลินท์ ดังนี้

     อย่างที่ ๑ เรียกว่า บวชได้กิ่งใบของพรหมจรรย์ คือบวชแล้วก็มุ่งแต่จะได้ลาภ ได้สักการะ ได้สรรเสริญ เมื่อได้ก็พอใจเพียงเท่านั้น
     อย่างที่ ๒ เรียกว่า บวชได้กะเทาะเปลือกของพรหมจรรย์ คือก็ไม่ได้มุ่งจะได้ลาภสักการะและสรรเสริญทีเดียว แต่ก็ปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วย และก็พอใจเพียงว่า จะปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เท่านั้น
     อย่างที่ ๓ เรียกว่า บวชได้เปลือกของพรหมจรรย์ คือเมื่อปฏิบัติในศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้แล้ว ก็ปฏิบัติในสมาธิให้บริบูรณ์ด้วย และก็พอใจเพียงสมาธิเท่านั้น
       อย่างที่ ๔ เรียกว่า บวชได้กระพี้ของพรหมจรรย์ คือเมื่อปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ให้บริบูรณ์แล้ว ก็ปฏิบัติต่อไปจนเกิดญาณทัสสนะคือความรู้ความเห็นธรรมะขึ้นด้วย และก็พอใจเพียงที่รู้ที่เห็นเท่านั้น
     อย่างที่ ๕ เรียกว่า บวชได้แก่นของพรหมจรรย์ คือว่าได้ปฏิบัติสืบขึ้นไปจนได้วิมุตติ คือความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์บางส่วนหรือสิ้นเชิง ตามสามารถของการปฏิบัติ
       อย่างที่ ๕ นี้ จึงจะชื่อว่าได้บรรลุแก่นของการบวช หรือว่าบวชได้แก่นของพรหมจรรย์
     สรุป ต้องให้ผู้ชายแมนๆ เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนามากๆ ไม่ว่าเดิมจะมีศรัทธาหรือยังไม่มีศรัทธา
(ยังไม่มีศรัทธา บวชแล้ว ก็ช่วยกันให้ท่านมีศรัทธา เหมือนเดิมเราก็อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ต่อมาก็อ่านออก เขียนได้) ไม่ใช่รอให้พร้อม รอให้ศรัทธาก่อนถึงมาบวช ความพร้อมไม่มีในโลก ถ้าจะรอพร้อม ให้มีศรัทธา อาจตายก่อน!!!!!

ที่มา: https://goo.gl/s6HoZn

ลักษณะและวิธีการบวช นับเป็น "กระบวนการคัดกรอง" ผู้ที่จะบวชเป็นภิกษุที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
     การบวชในระยะแรกๆ นั้น พระองค์จะเป็นผู้ประทานการอุปสมบทให้สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ต่อมาเมื่อพระธรรมคำสอนเผยแผ่ออกไปไกล มีผู้จิตศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้นและมาขอบวชเป็นจำนวนมากซึ่งพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นถึงความยุ่งยากที่เกิดขึ้น จึงทรงอนุญาตให้เหล่าพระสงฆ์สาวกเป็นผู้ทำการอุปสมบทให้ได้โดยตรง ทรงมอบหน้าที่การอุปสมบทให้เหล่าพระสงฆ์เป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งมีการตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆ เช่น อายุครบหรือไม่ มีโรคประจำตัวร้ายแรงหรือไม่  มีหนี้สินติดตัวหรือไม่ มารดาบิดาอนุญาตหรือไม่ เป็นต้น
     ความจริงการบวชนั้นใน "สามัญญผลสูตร" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนว่า แรงจูงใจในการบวช ของกุลบุตร เกิดจาก
๑. มีศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. มีปัญญาตรองเห็นโทษภัยในชีวิตฆราวาสว่า ทั้งคับแคบ และเป็นที่มาของกิเลส
๓. มีปัญญาตรองเห็นคุณของชีวิตนักบวชว่า มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ได้เต็มที่
ซึ่ง แรงจูงใจในการบวชดังกล่าว จะส่งผลให้มีเป้าหมายการบวช ดังนี้
ที่มา: https://goo.gl/s6HoZn
> บวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง 
     ผู้บวช ได้กล่าวปฏิญาณตน ได้ปฏิญาณกันต่อหน้าพระประธาน ต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ และต่อหน้าคณะสงฆ์ทั้ง ๒๐ รูป ว่า
“สัพพะทุกขะ นิสสะระณะ , นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ อิมัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะ มัง ภันเต ” 
แปลว่า “ ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ผู้เจริญ ขอท่านจงรับเอาผ้ากาสวะแล้วบวชให้ข้าพเจ้าด้วยเถิดเพื่อข้าพเจ้าจะได้ประพฤติปฏิบัติกำจัดทุกข์ทั้งปวงให้สิ้นไป และกระทำพระนิพพานให้แจ้ง ”
ถือว่าเป็นการคัดกรองแล้วในระดับหนึ่ง

> ในการอุปสมบท ภิกษุจะถามอันตรายิกธรรมกับผู้มุ่งจะบวช เมื่อทราบว่าไม่มีอันตรายิกธรรมดังกล่าว จึงจะอุปสมบทได้
ชายผู้จะบวชเป็นพระภิกษุต้องปราศจากอันตรายิกธรรม ๑๓ ข้อ ได้แก่
(๑)โรคเรื้อน (๒) ฝี (๓) โรคกลาก (๔)โรคมองคร่อ (๕) ลมบ้าหมู (๖)ไม่ใช่มนุษย์ (๗)ไม่ใช่ชาย
(๘) ไม่เป็นไท (๙) หนี้สิน (๑๐) เป็นราชภัฏ 
(๑๑) มารดาบิดาไม่อนุญาต (๑๒) มีปีไม่ครบ ๒๐ 
(๑๓) บาตรจีวรไม่ครบ
เป็นการคัดกรอง อีกขั้นตอนหนึ่ง


ที่มา: https://goo.gl/s6HoZn
> ช่วงที่พระคู่สวด คือ พระกรรมวาจาจารย์ และ พระอนุสาวนาจารย์ สวดญัตติ ทั้ง ๓ รอบ
     วิธีการอุปสมบทที่พระสงฆ์จะต้องร่วมกันให้การอุปสมบทด้วยวิธีสวดกรรมนั้น ๔ จบ คือ 
ครั้งแรกสวดญัตติ คือ ประกาศกรรมนั้นให้สงฆ์ทราบเพื่อร่วมกันทำกิจนั้น (หรือคำเผดียงสงฆ์) ๑ จบ 
ส่วนครั้งที่สองก็สวดอนุสาวนา (ขอมติ) อีก ๓ จบ คือสวดประกาศขอปรึกษาหารือและข้อตกลงกับสงฆ์ในที่ ประชุมนั้น (ว่าจะรับผู้นั้นเข้าเป็นพระภิกษุหรือไม่) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คำขอมติสงฆ์ 
     บุคคลที่จะบวชได้คณะสงฆ์ทุกรูปจะต้องยอมรับ คือนิ่งเงียบไม่ทักท้วง ตลอดการสวดญัตติ และอนุสาวนา ๓ ครั้ง จึงจะถูกต้องเป็นการบวชโดยที่ประชุมสงฆ์ยอมรับ
ก็เป็นการคัดกรองอีกขั้นตอนหนึ่ง

> พอจบพิธีการบวช
     พระอุปัชฌาย์ ท่านจะให้อนุศาสน์ กล่าวคือ บอกสอนกันเลย ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากโบสถ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ และ ข้อห้าม ของพระภิกษุ ซึ่งเป็นการสอนเรื่องพระธรรมวินัยและเป็นข้อปฏิบัติตนในการดำรงตนเป็นพระภิกษุ
     พระอุปัชฌาย์จะต้องบอกอนุศาสน์ ๘ อย่าง คือนิสสัย ๔ และอกรณียกิจ ๔ 
ซึ่ง นิสสัย ๔ หรือปัจจัยเป็นเครื่องอาศัยที่จำเป็นสำหรับผู้บวช คือ
(๑) บิณฑบาตเป็นวัตร คือกิจที่จะต้องบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์และแสวงหาอาหาร
(๒) นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ปัจจุบันคือการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลจีวรโดยปริมณฑล คือ เรียบร้อย
(๓) อยู่โคนต้นไม้ คือ เป็นผู้ออกจากเรือนไม่มีเรือนอยู่ จึงอยู่ป่าอาศัยโคนต้นไม้
(๔) ใช้ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า คือเป็นผู้สละเรือนแม้เจ็บไข้อาพาธต้องใช้สมุนไพรเป็นยา หรือหมักดองสมุนไพรเพื่อรักษาตนเอง
ส่วนอกรณียกิจ ๔ หรือ กิจที่พระภิกษุสงฆ์ไม่พึงกระทำ คือ
(๑) ปาณาติบาต คือ การฆ่าสัตว์ หรือทำชีวิตของสัตว์อื่นให้ลำบากหรือล่วงไป
(๒) ลักทรัพย์ คือ การลักขโมย หรือถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
(๓) การเสพเมถุนธรรม
(๔) การอวดอุตริมนุษย์ธรรม คือ อวดคุณวิเศษอันไม่มีในตน
✨✨แค่จบพิธีกรรม การบวช ก็ถือว่า พระอุปัชฌาย์ ได้ทำตามพระธรรมวินัย แล้วจะกล่าวหาว่า บวชระยะสั้น บวชตามประเพณี ฯลฯ เป็นการบวชแบบไม่มีการศึกษาพระธรรมวินัยไม่ได้
     การบวชนั้น เมื่อจบพิธีกรรมสงฆ์แล้ว ก็ถือว่า เป็นพระภิกษุที่สมบูรณ์ เหมือนพระภิกษุรูปอื่นๆ แต่จากนี้ไปใครจะไปศึกษากับพระอาจารย์รูปใด ก็ตามศรัทธา เพื่อศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา ผลที่จะได้รับจากการบวชก็ตามแต่ว่า ใครประพฤติปฏิบัติอย่างไร?
@ เข้มงวด กวดขัน ตนเองแค่ไหน?
@ มีความเพียร อย่างถูกหลักวิชชา อย่างสม่ำเสมอ?


ที่มา: https://goo.gl/s6HoZn
      พระภิกษุเมื่อก้าวเข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้ เหมือนก้าวลงมาในสระน้ำใหญ่ ใครชำระล้างสิ่งสกปรกในกาย วาจา ใจ ของตนเองได้มากแค่ไหน ก็จะสะอาดมากเท่านั้น แต่ใครที่เข้ามาในสระ (พระธรรมวินัย) แล้วไม่หมั่นทำความสะอาดตน ก็สะอาดไปตามยถากรรม
     การบวชนั้น ก่อนบวช ก็ศรัทธา ระดับหนึ่ง แต่พอเข้ามาทำกิจสงฆ์ เข้าหมู่สงฆ์ ความศรัทธาจะเพิ่มขึ้น จากการหล่อหลอม ด้วยกิจวัตร และกิจกรรมของสงฆ์ สงฆ์จะคัดกรอง โดยอัติโนมัติ คือศีล และ ทิฏฐิ
     
     ดังนั้น ผู้ชายทุกคน ต้องบวช ถ้าไม่บวช ก็เสียชาติเกิดมาเป็นผู้ชาย ถ้าบวชแล้ว ไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ก็ไม่บรรลุเป้าหมายของการบวช แต่ก็ยังเป็นอุปนิสัยข้ามชาติในการฝึกฝนตนเอง ต่อไป


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง
- https://th.wikipedia.org/wiki/ (https://goo.gl/Z5ZJW7)
- https://goo.gl/3DeX72
- https://www.dailynews.co.th/article/583630
- http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=608&articlegroup_id=121
- https://www.m-society.go.th/ewt_news.php?nid=13651



2 ความคิดเห็น:

  1. มีศรัทธามาก่อนก็บวชได้
    ไม่มีศรัทธามาก่อน ก็บวชได้เช่นกัน ไม่ใช่เลือกบวชเฉพาะผู้มีศรัทธา องคุลีมารมหาโจร ไม่มีศรัทธาในพระศาสนามาก่อน บวชแล้วก็ทำพระนิพพานให้แจ้งได้ เป็นต้น
    ข้อความข้างบนจริง และถูกต้อง หรือ...? (ขอทราบที่มาของข้อมูลด้วยครับ)
    ......
    องคุลิมาล พระองค์ตรัสว่า “เราหยุดทำบาปแล้ว เธอยังไม่หยุด” เท่านั้นแหละ มหาโจรองคุลิมาลก็ทิ้งดาบ เข้าไปกราบพระยุคลบาท ฟังธรรมพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง จบพระธรรมเทศนา เขาได้ทูลขอบวช พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้แล้วทรงนำกลับไปยังพระเชตวัน (https://www.matichonweekly.com/column/article_250641)
    .....แสดงว่ายังไม่แตกฉานในข้อมูล

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ