ความโกรธเป็นศัตรูร้ายตัวหนึ่งของมนุษย์และสัตว์โลก
ความโกรธเป็นศัตรูร้ายตัวหนึ่งของมนุษย์และสัตว์โลก น้อยคนนักจะเอาชนะมันได้โดยเด็ดขาด ส่วนมากพ่ายแพ้ต่อมัน มันเป็นผู้ชนะที่ไม่ปราณีต่อผู้แพ้ทำผู้แพ้ให้ประสบภัยพิบัติต่างๆ แต่ใครชนะมันได้ มันจะให้รางวัลประเสริฐสุดต่อผู้นั้น คือ ความสงบสุขของดวงจิตซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าของมนุษย์ฆ่าความโกรธได้อะไร
ฆ่าสัตว์เพื่อเสพเนื้อ อีกหวัง
กระดูกงาเขาหนัง เพื่อใช้
ได้สุขแต่ก็ยัง เป็นบาป กรรมแฮ
ฆ่าความโกรธนั้นไซร้ ประโยชน์แท้ บุญเหลือ
ความโกรธไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิต เราไม่ต้องหวงแหน คนที่มักหวงความโกรธไว้เป็นของตน เห็นเป็นสิ่งธรรมดา เหมือนกินข้าว อาบน้ำ และการขับถ่าย แต่ความโกรธทำให้เกิดปัญหาชีวิต ทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิตเป็นเคราะห์ร้ายของคน เราควรละอายตัวเอง ละอายผู้อื่นทุกครั้งที่เราโกรธจนต้องแสดงกิริยาอาการออกมา เหมือนเราเป็นโรคผิวหนัง ลองฟังเสียงตัวเองเวลาโกรธเป็นเสียงที่ไม่น่ารักเลย
ใครทำให้เราโกรธบ่อยๆ เราควรหลีกเลี่ยงคนนั้นเสีย เพราะความโกรธบ่อย และถ้ารุนแรงด้วยย่อมเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตมาก ยังเป็นการสะสมกิเลสสายโทสะส่วนละเอียดอันจะลงไปก่อตัวสะสมกันอยู่ในจิตส่วนลึก (ปฏิฆานุสัย) นานไปทำให้เป็นคนมีนิสัยขี้โกรธ กระทบอะไรนิดหน่อยไม่ได้ เหมือนเนื้อส่วนที่เป็นแผล กระทบเข้าหน่อยก็เจ็บ และเจ็บมากกว่าเนื้อส่วนที่เป็นปกติ เราไม่ควรสะสมสิ่งอันทำให้จิตใจเราเป็นแผล ถ้าเป็นแล้วควรรีบรักษาให้หายโดยเร็วมิฉะนั้นจะเรื้อรัง รักษายาก อาจไม่หายเลย ก่อให้เกิดทุกข์ทรมานแก่เราไปตลอดชีวิต เราควรยอมให้เป็นเช่นนั้นหรือ?
ทุกครั้งที่เราโกรธ เราควรละอายตัวเองให้มาก สำหรับผู้มีจิตสำนึกที่ดี อาจรู้สึกว่าค่าของตนลดลง เกือบเป็นคนไร้ค่า
เรื่องเล็กน้อย แต่พอความโกรธเข้าครอบงำจิตทำให้จิตมองเห็นเป็นเรื่องใหญ่เท่าภูเขา แต่พอหายโกรธแล้วจึงเห็นเท่าเม็ดทรายหรือขี้ผง จะเขี่ยทิ้งไปเมือไรก็ได้ ความรัก ความโลภก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่พรางตาพรางใจ บิดเบือน ให้เห็นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
ความโกรธอาจเกิดจากการที่เราต้องการจะควบคุมอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือใครสักคนหนึ่งให้เป็นไปตามที่เราปรารถนา แต่เราควบคุมไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย ในกรณีที่เราควบคุมได้ แสดงว่ามีเหตุปัจจัยเพียงพอ ถ้าเราคุมไม่ได้แสดงว่าเหตุปัจจัยไม่เพียงพอ
ดังนั้นถ้าเราต้องการควบคุมใคร เมื่อใด นั่นคือปัญหาอันยิ่งใหญ่และทุกข์อันยิ่งใหญ่ของเรา แม้สมมติว่าจะควบคุมได้บ้างเป็นบางคราวก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ฝืดฝืน แห้งแล้ง ไม่สละสลวย กลมกลืนนุ่มนวลชุ่มฉ่ำ เหมือนเป็นไปตามธรรมชาติ
เขาจะรัก จะชัง จะเกลียด จะชอบ จะเบื่อ ฯลฯ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เราเป็นเพียงผู้รู้ตามความเป็นจริงเหมือนฝนตก แดดออก เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น เราจะควบคุมมันได้อย่างไร เราอาจหาทางป้องกันตัวเองได้บ้าง
พระพุทธพจน์มีว่า
“พึงละความโกรธ พึงสละมานะ (ความทะนงตน) พึงล่วงพ้นสังโยชน์ทั้งปวง ความทุกข์ย่อมไม่ตกถึงบุคคลผู้ไม่ติดข้องในนามรูปและไม่มีความกังวล”
พระพุทธพจน์นี้ทรงสอนพระนางโรหิณี น้องสาวของพระอนุรุทธเถระ พระนางเป็นโรคผิวหนัง ตอนหลังหายเพราะพระนางได้สร้างโรงฉันและปัดกวาดโรงฉันทุกวัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงกรรมเก่าของพระนางว่า ชาติก่อนเป็นมเหสีของพระราชาพระองค์หนึ่ง มีจิตโกรธและริษยาหญิงนักฟ้อนซึ่งพระราชาทรงโปรดปราน จึงเอาผงเต่าร้างหรือหมามุ่ยโรยบนที่นอนของหญิงนักฟ้อนจนนางคันเป็นตุ่มพองไปทั้งตัว ด้วยบาปที่ทำนั้นจึงมาเป็นโรคผิวหนัง และหายได้ด้วยบุญ
ความทุกข์กับความโกรธนั้นเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน คือ ความไม่พอใจ ซึ่งถ้าระงับไม่ได้ ก็เป็นทุกข์ล่วงหน้ามาก่อนแล้วทำให้เกิดความโกรธ ความโกรธทำให้เกิดความทุกข์ต่อไปเหมือนไฟน้อยทำให้เกิดไฟใหญ่ ไฟใหญ่ทำให้เกิดไฟเล็ก ไฟน้อยต่อไปอีก (มันลามไป) ตรงกับข้อความที่ว่า “ความโกรธเกิดจากความโกรธก็มี” นอกจากนี้ความโกรธเกิดจากความรักก็ได้ คือเพราะรักจึงโกรธ
พระพุทธพจน์ที่ว่า
“ผู้ใดขมความโกรธที่พุ่งขึ้นได้ เหมือนสารถีห้ามรถที่กำลังแล่นให้หยุดได้ เราเรียกผู้นั้นว่า สารถี คนที่ไม่สามารถห้ามรถได้ หาเรียกว่าสารถีไม่ เขาเป็นแต่เพียงคนถือเชือก เท่านั้น”
ท่านมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง
คือลินคอล์น ประธานาธิบดีอเมริกา
ท่านจึงมีอุดมคติประจำใจว่า
"ด้วยไม่คิดร้ายต่อผู้ใด
ด้วยความปรารถนาดีต่อคนทั้งปวง"
แล้วท่านก็ทำดังนั้นจริง ๆ
ท่านก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ไม่ใช่เพียงความยิ่งใหญ่ในตำแหน่ง
แต่ว่าก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ในหัวใจคน
ก็ด้วยความไม่คิดร้ายต่อผู้ใด
ด้วยความปรารถนาดีต่อคนทุกคน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาและภาพจาก
- หนังสือ ทำอย่างไรกับความโกรธ ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ, 2560.
- https://www.facebook.com/W.Indhasara/posts/692936564229515
- google.com