รดน้ำศพมีความมุ่งหมายและเป็นคติสอนใจอย่างไร?

02:25 Mali_Smile1978 5 Comments

ที่มา https://goo.gl/aup3wg
รดน้ำศพมีความมุ่งหมายและเป็นคติสอนใจอย่างไร???
   ประเพณีการรดน้ำศพนั้นเป็นเรื่องเก่าแก่ มีมาแต่โบราณแต่จะโบราณขนาดไหนยังสาวไปไม่ถึง ลงเป็นเรื่องโบราณแล้วเป็นอันว่าต้องมีอะไรๆ แฝงอยู่เสมอ จึงควรจะได้ศึกษาเพื่อทราบความมุ่งหมายกันไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะได้นำไปใช้เมื่อมีความจำเป็นและทำได้อย่างถูกต้องดี

   การรดน้ำศพ มีจุดหมายโดยตรง คือเพื่อขอขมาลาโทษต่อผู้ตาย หรือไปอโหสิกรรมให้แก่กัน อย่ามีเวรมีกรรม หรือจองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก ขอให้สิ้นสุดกันแค่นี้ แต่ถ้าผู้ตายมีอาวุโสน้อยกว่า ไม่นิยมรดน้ำศพเพื่อขอขมาแต่ไปในงานเพื่อให้เกียรติและไว้อาลัยแก่ผู้ตาย

   ส่วนจุดมุ่งหมายโดยอ้อมก็เพื่อเป็นคติสอนใจคนเป็นนั่นเอง

ขอขมาและสอนใจอย่างไร

   ความจริงของเดิมแท้ๆ คงไม่มีการรดน้ำศพเป็นพิธีการอย่างเดี๋ยวนี้ คงมีอาบน้ำศพกันเท่านั้นพอ แม้บัดนี้ตามชนบทก็มีแค่อาบน้ำศพกันโดยอาบเป็นพิธีการทีเดียว เรียกลูกๆ หลานๆ ญาติพี่น้องมาอาบน้ำกันเป็นการใหญ่ ไม่มีการรดน้ำศพอย่างที่ทำกันในบัดนี้ แต่เฉพาะในที่ที่เจริญแล้วเช่นในเมือง นิยมมีการอาบน้ำศพด้วย รดน้ำศพด้วย การอาบน้ำศพเป็นเรื่องภายในครอบครัวและญาติสนิททำกันก่อน เมื่ออาบน้ำศพแล้วก็แต่งตัวศพเสียใหม่ ผัดหน้าทาขมิ้นอย่างดีทีเดียว แล้วนำศพนั้นออกมาให้แขกเหรื่อรดน้ำศพภายหลัง

   วิธีรดน้ำศพนั้นเท่าที่ทราบ ถ้าเป็นศพคฤหัสถ์ซึ่งมีอาวุโสสูงกว่าตัว หากศพวางไว้กับพื้นผู้รดน้ำก็นั่งคุกเข่า หากศพวางไว้บนเตียงก็ยืนน้อมไหว้ศพก่อนพร้อมกับนึกในใจว่า

“กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มโนกัมมัง อโหสิกัมมัง โหตุ”
(ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินต่อท่านทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี ขอท่านโปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด)

   เมื่อยกมือไหว้ขอขมาศพแล้วก็รับภาชนะน้ำสำหรับรด ประคองเทน้ำด้วยมือทั้งสองรดลงบนฝ่ามือขวาของศพ พร้อมนำในใจว่า

“อิทัง มะตะกะสะรีรัง อาสิญจิโตทะกัง วิยะ อะโหสิกัมมัง”
(ร่างกายที่ตายแล้วนี้ย่อมเป็นอโหสิกรรม ไม่มีโทษ เหมือนน้ำที่รดแล้ว) 
จะว่าเป็นภาษาบาลีหรือเฉพาะภาษาไทยอย่างเดียว หรือทั้งสองอย่างเป็นอันใช้ได้ทั้งนั้น

   เมื่อรดเสร็จแล้วน้อมตัวลงยกมือไหว้พร้อมกับนึกอธิษฐานในใจว่า

“ขอจงไปสู่สุคติๆ เถิด”
   นี่เป็นระเบียบปฏิบัติเวลารดน้ำศพคฤหัสถ์ ถ้าเป็นศพพระสงฆ์ให้เปลี่ยนจากน้อมไหว้มาเป็นกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง ส่วนการนึกในใจคงใช้เช่นเดียวกัน

การรดน้ำศพนี้มีข้อคิดเป็นคติสอนใจอยู่ ๒ ประการ คือ

ที่มา https://goo.gl/aup3wg
   ประการแรก เวลาเขาวางศพให้รดน้ำนิยมให้ศพนอนเหยียดยาว จัดมือขวาให้วางหงายเหยียดออกคอยรับการรดน้ำ เหมือนจะให้ศพประกาศความหมายออกมาว่า

“นี่แน่ะท่านทั้งหลาย ดูมือฉันซิ ฉันไปมือเปล่านะ ฉันไม่ได้นำเอาอะไรในโลกนี้ไปเลยแม้แต่น้อยหนึ่ง แม้ท่านก็จักเป็นเช่นฉันเหมือนกัน”

   พูดกันให้ชัดก็คือเพื่อให้เราเกิดสติเกิดจิตสำนึกว่าแม้ผู้ตายจะร่ำรวยสักปานไหน มีทรัพย์สมบัติมีบริวารมากสักเพียงใด ตายแล้วก็นำอะไรไปไม่ได้เลยสักอย่าง ทำนองว่า “เขามามือเปล่าก็ไปมือเปล่าเหมือนเขา” นั่นเอง จะมามัวโลภโมห์โทสันกันไปถึงไหน ทำสิ่งที่จะติดตามตนไปได้มิดีกว่าหรือ จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
ที่มา https://goo.gl/pQF94f
   และอีกประการหนึ่งเป็นการเตือนสติว่า อยู่เป็นมนุษย์อย่าได้มีเวรมีภัยอย่าได้เบียดเบียนกันและกันเลย มีข้อบาดหมางอะไรก็ควรอโหสิกรรมกันให้อภัยกันเสีย ตายไปแล้วร่างกายจะได้อโหสิกรรมหมดมลทิน ไม่นำเวรนำภัยไปด้วยเหมือนน้ำที่รดศพฉะนั้น

คืออย่างไร

   ธรรมดาน้ำเป็นสิ่งที่ไม่ถือโทษโกรธใครเป็น ใครจะทิ้งของเน่าของเหม็นลงไปในน้ำหรือใครจะนำน้ำไปราดไปรดอาบล้างของเหม็นเน่าของหอมหรือของสูงต่ำอย่างไร น้ำนั้นก็ไม่ยินดียินร้าย วางเฉยเสมอ ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใครทั้งนั้น พร้อมทั้งไม่เลือกที่รักผลักที่ชังด้วย วางตัวสม่ำเสมอทุกเวลา มีความยุติธรรมตลอดกาล มนุษย์เราจึงน่าจะทำตัวให้เหมือนกับน้ำที่รดศพกันบ้างโลกคงสงบกว่านี้


ขอบคุณข้อมูล
- หนังสือไขข้อข้องใจ ๒,จากวารสารมงคลสาร:สิงหาคม,๒๕๑๙).พระธรรมกิตติวงศ์(ทองดี สุรเตโช),๒๕๕๒.หน้า ๖๗-๗๐
- ภาพ https://goo.gl/pQF94f,https://goo.gl/aup3wg

5 ความคิดเห็น:

  1. งานศพเพือเตือนคนเป็นอย่าประมาทในชีวิต

    ตอบลบ
  2. เมื่อตายแล้ว สิ่งที่เอาติดตัวไปได้คือบุญและบาป จึงต้องทำบุญไปให้มากที่สุดครับ

    ตอบลบ
  3. เมื่อหมดอายุขัย สิ่งที่ติดตัวไป ก็มีแต่บุญและบาปที่เคยทำไว้เท่านั้น

    ตอบลบ
  4. โลกของการประกอบเหตุอาจมีล่วงเกินกันทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ดีก็ เมื่อละจากไปแล้วก็ขอให้ให้อภัยต่อกัน คงเหลือไว้แต่ดีชั่วที่ตัวทำ

    ตอบลบ